|
ทำไม !...แม่ชีธนพรถึงล่วงรู้เรื่องกรรม
แม่ชีธนพร ชัยประคอง หรือแม่ชีใหญ่ เดิมเป็นฆราวาสธรรมดาคนหนึ่ง มีชื่อและนามสกุลเดิม คือ นางมาลินี ชัยปกรณ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ได้ใช้ชีวิตทางโลกจนมีบุตรทั้งหมด ๕ คน ทางด้านการเงินถือว่ามีฐานะพอสมควร ประกอบกับมีอาชีพค้าขายได้กำไรดี
สำหรับเหตุของการบวชนั้น แม่ชีธนพร บอกว่า เกิดจากเบื่อหน่ายชีวิตทางโลก เพราะมีความวุ่นวาย โดยเฉพาะปัญหาทางครอบครัว ปัญหาที่สามีไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้เป็นพ่อ ในที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป เกิดความทุกข์ใจ จึงได้หัดสวดมนต์ไหว้พระ เอาคุณพระเป็นที่พึ่งมาโดยตลอด กระทั่งได้มีโอกาสรู้จักกับ หลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต แล้วก็ได้บวชชีพราหมณ์ เริ่มแรกคิดว่าจะบวชเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๐ วันเท่านั้น
ส่วนการเปลี่ยนชื่อจาก มาลินี มาเป็น ธนพร นั้น แม่ชีธนพร ให้เหตุผลว่า ครั้งหนึ่งได้ไปกราบ หลวงพ่อเฮง วัดเขาน้อย จ.ระยอง โดยท่านทักว่าให้เปลี่ยนชื่อจากมาลินี เป็นธนพร ชื่อนี้จะทำให้มีคนรู้จักทั่วประเทศ ครั้งแรกไม่เชื่อเนื่องจากไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็เลยลองเปลี่ยนดู เพราะถือว่าเป็นมงคล เป็นชื่อที่พระท่านตั้งให้ และก็เป็นจริงดังคำทำนายของหลวงพ่อเฮงจริงๆ
ภายหลังได้เข้าสมาธิ ที่วัดเขาอิติสุคโตเพียงวันแรก ได้รับคำแนะนำ จากหลวงพ่อปรีชาให้แม่ชีธนพรและแม่ชีอีก ๕ ท่าน ขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบนเขา ระหว่างแม่ชีธนพรสามารถเข้าสมาธิ ต่อเนื่องยาวนานถึง ๒ ชั่วโมง จิตรวมลงเป็นหนึ่งเกือบได้จตุถฌาณ จากนั้นบังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นฉากๆ
แม่ชีธนพรเล่าว่า เหมือนกับการฉายสไลด์ภาพเข้ามาแล้วถูกเลื่อนออกไปทีละภาพๆ ภาพที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นเป็นเรื่องราวของตัวเองทั้งสิ้น
จังหวะที่เห็นภาพ จิตตัวรู้ ก็อธิบายเรื่องราวของกรรม ให้เข้าใจตามไปด้วยว่า กรรมที่ทำลงไปเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ตามมา เรื่องราวทั้งหมดย้อนไปตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน
ภาพหนึ่งที่เห็นอยู่นั้น ในใจได้ถามตัวเองว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ตัวรู้ก็บอกออกมาให้เข้าใจว่า กำลังขโมยเงินคนอื่น แล้วภาพเก่าก็เลื่อนออกไป กลายเป็นภาพใหม่เข้ามาฉายแทน พอภาพใหม่เข้ามาก็ถามอีกว่า นี่อะไร ในใจก็บอกออกมาว่า กำลังพูดให้คนอื่นทะเลาะกัน คำตอบจากในใจสามารถอธิบาย สิ่งที่เห็นได้หมด แสดงว่า ตัวเองนี้แหละที่บันทึกการกระทำต่างๆ นั้นไว้ แม่ชีธนพร เล่าต่อว่า ทุกภาพที่เห็นได้เรียงลำดับแต่เล็กมาอย่างเป็นระเบียบ เริ่มมีสติคิดได้ว่า หากตายลงวันนี้คงมิต้องไปอยู่ในนรกหรอกหรือ
การนั่งสมาธิครั้งแรกนี้มีประโยชน์มาก เพราะทำให้รู้เรื่องกรรมและผลของกรรมเป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกกลัวในการทำชั่วขึ้นมาอย่างจับใจ จิตน้อมนำไปทางธรรมอย่างลึกซึ้ง เห็นภัยในทางโลกชัดเจนมากขึ้น ขณะที่จิตตรึกในธรรมอยู่นั้น เพื่อนๆ แม่ชีที่นั่งกรรมฐานด้วยกันได้ถอนจากสมาธิออกมาหมดแล้ว คงเหลือแต่แม่ชีธนพรเพียงท่านเดียวที่คงเข้าสมาธิอยู่
แม้การบวชชีพราหมณ์ครั้งนี้จะทำให้แม่ชีธนพรได้ความรู้พิเศษจากการนั่งกรรมฐาน แต่ยังมีกรรมบางส่วนที่เข้ามาขวางทำให้ใจคิดอยากสึก ตอนนั้นได้เปลี่ยนชุด เป็นฆราวาสธรรมดาแล้ว หลวงพ่อปรีชาได้ถามว่า สึกแล้วจะไปทำอะไร แม่ชีก็กราบเรียนท่านว่า จะไปทำร้านอาหาร ระหว่างที่ยืนยันจะสึกนั้น มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น
ภายหลังที่ได้กลิ่นคาวประหลาด ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน ทันใดนั้นเองร่างกาย ของท่านก็ไม่สามารถควบคุมได้ ประหนึ่งว่ามีพลังงานบางอย่างที่เป็นอำนาจจิต อันมีพลานุภาพมหาศาลเข้ามาควบคุมร่างกายท่าน ครั้งแรกไม่เข้าใจ พยายามที่จะหันหน้าตรงๆ แต่คอและหน้ากลับบิดไปทางซ้ายที ขวาที จนบิดไปครบสี่ทิศ จากนั้นประกาศตนเองออกมาว่า เป็นพรหม
หลังจากที่องค์พรหมเข้ามาผ่านร่างแล้ว เพียงครู่เดียวก็ปรากฏเป็นดวงจิตพลังงานอื่นๆ ที่ผ่านร่างกายท่านเข้ามาอีกหลายอย่าง ทั้งพญาช้าง พญานาค พญายักษ์ และเทพพรหม อีกหลายองค์ จนกระทั่งองค์สุดท้ายเป็น พระแม่ธรณี
เมื่อองค์พระแม่ธรณีลงมาแล้วรู้สึกด้วยว่า เหมือนมีน้ำไหลออกมาจากบริเวณหน้าผาก จึงเป็นที่มาของการไม่สึกจากแม่ชี ของแม่ชีธนพร ตราบจนปัจจุบัน
สำหรับการตรวจกรรมในอดีตชาตินั้น แม่ชีธนพรบอกว่า ครั้งแรกได้ตรวจดูอดีตกรรมของญาติโยม โดยเริ่มจากการส่องญาณดูหลวงพ่อปรีชาก่อน ดูว่าที่หลวงพ่อปรีชารู้เรื่องราวต่างๆ ของญาติโยมที่มานั้น ท่านรู้ได้อย่างไร นั่งสมาธิครั้งแรกจิตสงบนิ่ง จนเห็นอดีตกรรมของตัวเอง ระหว่างใช้วาระจิตตรวจดูกรรมของหลวงพ่อปรีชานั้น หาได้รอดพ้นข่ายญาณของหลวงพ่อปรีชาไม่ เพราะหลังจากทำวัตรสวดมนต์เสร็จ หลวงพ่อปรีชาก็ตำหนิใส่แม่ชีธนพรว่า มึงแอบดูกูทำไม
หลวงพ่อปรีชาได้เข้ามาสอนแม่ชีธนพร ว่า เอ็งดูแบบนี้ไม่ได้ เรียกว่าเป็นตัณหา คือความอยากดูแบบนี้ไม่บริสุทธิ์ เป็นการอยากไปรู้เรื่องของเขา เมื่อหลวงพ่อห้ามไว้ แม่ชีธนพรก็ยังสงสัยว่า เมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมท่านจึงเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในเมื่อมันไม่ดี
แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ไม่ได้ซักถามหลวงพ่อปรีชาต่อ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ ซึ่งหลวงพ่อปรีชาสอนเอาไว้ว่า การรู้ให้เป็นไปโดยการปล่อยวาง ให้รู้เองเห็นเองโดยไม่มีเจตนาความอยากเข้าไปพัวพัน การรู้แบบนี้เป็นการรู้โดยที่จิตเป็นอุเบกขากรรม ตัวรู้รู้โดยบริสุทธิ์เพราะไม่มีตัณหาเข้ามายุ่งเกี่ยว และไม่มีอุปทานใดๆ แอบแฝง
แม้กรรมจะเป็นสิ่งลี้ลับ เพราะกรรมบางอย่างให้ผลข้ามภพข้ามชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์โดยทั่วไปไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่กฎแห่งกรรมก็ยังเป็นสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงยืนยัน แม้ว่าการให้ผลของกรรม บางครั้งบางกรณีจะอยู่นอกเหนือความเข้าใจของคนทั่วไปก็ตาม แม่ชีธนพรกล่าวยืนยัน พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า
ผลแห่งกรรมที่เราทุกคนต้องประสบหากประมาทและไม่เชื่อในเรื่องกรรม
๑. ลูกเถียงพ่อเถียงแม่ จัดว่าทำกรรมชั่วที่หนักหนาสาหัส เมื่อลูกผู้นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ อาจส่งผลต่อร่างกายทำให้ลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง เป็นกรรมที่แสดงออกมาทางร่างกาย
๒. ลูกที่ทำร้ายบิดามารดาตนเอง เป็นกรรมหนักว่าข้อแรกหลายเท่า ในศาสนาพุทธท่านว่า ตายไปแล้วย่อมไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะนรก มีลักษณะเป็นบัวกรดเผาทำลายอยู่เป็นนิจ และมียมบาลคอยเอาฆ้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป
๓. การทำแท้ง เป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียน ผู้ที่ทำกรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้ เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตนจองเวรอยู่ด้วยความอาฆาต
แม่ชีธนพรยังกล่าวถึงการแก้ไขวิบากกรรมจากการทำแท้งด้วยการทำบุญกุศล ถือศีลกินเจ สวนมนต์ภาวนา อธิษฐานจิตอุทิศบุญจากการเจริญทาน ศีล ภาวนาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งขอให้เขาอโหสิกรรมก็จะสามารถแก้ไขได้ และใครก็ตามที่ต้องการเปิดกรรม
อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของแม่ชีธนพรทั้งหมดอ่านได้จากหนังสือ เกิดแต่กรรม แม่ชีธนพรจะเปิดกรรมในวันเสาร์-วันอาทิตย์ และงดวันโกนกับวันพระ สอบถามรายละเอียดได้ที่วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสาน กทม. โทร. ๐-๒๘๖๑-๔๕๓๐-๑
.........................................................................
นสพ. คมชัดลึก ฉบับวันที่ 14 ธันวาคม 2547 เรื่องโดย สุทธิคุณ กองทอง
| | |
|
|
| |
|